Skip to Content

เทคโนโลยีโอโซนกับการฆ่าเชื้อในน้ำ ดีกว่าคลอรีนจริงหรือไม่?

เทคโนโลยีโอโซน


เทคโนโลยีโอโซนกับการฆ่าเชื้อในน้ำ ดีกว่าคลอรีนจริงหรือไม่? 🌿💧
การใช้ โอโซน (Ozone) และ คลอรีน (Chlorine) ในการฆ่าเชื้อโรคในน้ำทั้งสองเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่มีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วันนี้เรามาเปรียบเทียบทั้งสองเทคโนโลยีนี้กันดีกว่า!


1️⃣ โอโซน (Ozone)

ลักษณะของโอโซน:

  • โอโซนเป็นก๊าซที่เกิดขึ้นจากออกซิเจน (O₂) โดยการสลายออกซิเจนในลักษณะของโมเลกุล O₃
  • เป็น สารออกซิไดซ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
  • โอโซนไม่มีสารเคมีตกค้างหลังจากการใช้งาน ซึ่งเป็นข้อดีในการใช้ในระบบน้ำดื่มและการฆ่าเชื้อในน้ำ

ข้อดีของโอโซน:

  • ฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ: โอโซนมีความสามารถในการฆ่าแบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อรา, และจุลินทรีย์ต่างๆ ได้มากกว่าคลอรีน
  • ไม่มีสารตกค้าง: เมื่อโอโซนถูกใช้งานแล้ว มันจะถูกแปรสภาพเป็นออกซิเจน (O₂) ที่ปลอดภัย ไม่มีสารเคมีตกค้างในน้ำ
  • ปลอดภัย: ไม่มีสารพิษตกค้างและปลอดภัยต่อสุขภาพเมื่อเทียบกับคลอรีนที่อาจทำให้เกิดสารระเหยหรือการสะสมของสารที่เป็นอันตราย

ข้อเสียของโอโซน:

  • ต้นทุนสูง: ระบบการผลิตโอโซนมีต้นทุนสูงและจำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษ
  • ใช้ได้ในระบบน้ำขนาดใหญ่: มักจะใช้ในระบบน้ำขนาดใหญ่หรือตามโรงงานที่ต้องการการฆ่าเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
  • ต้องใช้งานทันที: โอโซนจะคงอยู่ในน้ำได้ไม่นาน เพราะจะถูกแปรสภาพเป็นออกซิเจน ดังนั้นจึงต้องใช้ทันทีที่ผลิตเสร็จ

2️⃣ คลอรีน (Chlorine)

ลักษณะของคลอรีน:

  • คลอรีนเป็นสารเคมีที่นิยมใช้ในการฆ่าเชื้อในน้ำ โดยมันทำงานได้ดีในระบบน้ำทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่
  • เมื่อผสมกับน้ำ คลอรีนจะทำปฏิกิริยาเคมีเพื่อฆ่าเชื้อโรค

ข้อดีของคลอรีน:

  • ต้นทุนต่ำ: คลอรีนเป็นสารเคมีที่มีราคาถูกและสามารถหาได้ง่าย
  • ฆ่าเชื้อโรคได้ดี: คลอรีนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทั้งแบคทีเรียและไวรัส โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อน
  • เก็บได้นาน: คลอรีนมีคุณสมบัติในการเก็บรักษาน้ำได้เป็นระยะเวลานาน เพราะมันสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ต่อเนื่องแม้จะทิ้งไว้ในน้ำ

ข้อเสียของคลอรีน:

  • สารพิษและตกค้าง: คลอรีนสามารถทิ้งสารตกค้างได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดสารระเหยที่อันตรายเช่น Trihalomethanes (THMs) หรือ Haloacetic acids (HAAs) ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
  • ระคายเคือง: คลอรีนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาและผิวหนัง โดยเฉพาะในปริมาณที่สูง
  • กลิ่นและรส: คลอรีนมักทิ้งกลิ่นและรสที่ไม่พึงประสงค์ในน้ำ

3️⃣ การเปรียบเทียบระหว่างโอโซนและคลอรีน

คุณสมบัติโอโซน (Ozone)คลอรีน (Chlorine)
ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อสูงมาก (ฆ่าเชื้อได้เร็วและหลากหลาย)ดี (ฆ่าแบคทีเรียและไวรัสได้ดี)
ผลข้างเคียงไม่มีสารตกค้างและปลอดภัยสารพิษตกค้างในน้ำและสามารถระคายเคืองได้
ค่าใช้จ่ายสูง (ต้องใช้ระบบผลิตโอโซน)ต่ำ (หาได้ง่ายและราคาถูก)
การใช้งานเหมาะสำหรับระบบน้ำขนาดใหญ่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในระบบน้ำขนาดเล็กและขนาดกลาง
กลิ่นและรสไม่มีกลิ่นหรือรสในน้ำอาจมีกลิ่นและรสคลอรีนในน้ำ
อายุการใช้งานในน้ำสั้น (ไม่คงอยู่ในน้ำหลังการใช้งาน)ยาวนาน (คงอยู่ในน้ำได้ต่อเนื่อง)



สรุป: โอโซน VS คลอรีน

ทั้ง โอโซน และ คลอรีน เป็นวิธีการฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ แต่การเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับ ประเภทของระบบน้ำ และ ความต้องการเฉพาะ ของผู้ใช้:

  • หากต้องการ ความปลอดภัยและไม่มีสารตกค้าง โอโซนอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แม้ว่าจะมีต้นทุนสูงกว่าก็ตาม
  • หากต้องการ ประสิทธิภาพในราคาประหยัด และสามารถจัดการกับสารเคมีตกค้างได้ คลอรีนอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้งานในระบบน้ำขนาดกลางและเล็ก

รีวิวหุ่นยนต์ทำความสะอาดถังน้ำยอดนิยมจากต่างประเทศ