Skip to Content

อัตราการคิดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำ

อัตราการคิดค่าน้ำ


การคิดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำสามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้น้ำในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ประเภทของผู้ใช้ (บ้าน, ธุรกิจ, อุตสาหกรรม) และ แหล่งที่มาของน้ำ รวมถึง ระบบการจัดการน้ำ ของพื้นที่นั้นๆ


1️⃣ อัตราค่าใช้น้ำในระดับครัวเรือน

การคิดค่าใช้น้ำสำหรับครัวเรือนมักคำนึงถึง ปริมาณน้ำที่ใช้ ต่อเดือน หรือ การใช้น้ำในแต่ละประเภท เช่น น้ำดื่ม, น้ำใช้ในบ้าน, น้ำรดน้ำต้นไม้ หรือการทำสวน

ประเภทของการคิดค่าใช้น้ำ:

  1. การคิดค่าใช้น้ำตามปริมาณการใช้น้ำ (Metered Billing):
    • หลายเมืองหรือชุมชนคิดค่าใช้จ่ายน้ำตามปริมาณการใช้น้ำที่ใช้จริง โดยมีการติดตั้ง มิเตอร์น้ำ ที่วัดปริมาณน้ำที่ใช้จริงในแต่ละเดือน
    • ตัวอย่างการคิดค่าใช้จ่าย:
      • ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสำหรับการใช้น้ำ 0-10 ลูกบาศก์เมตร (m³) อาจจะอยู่ที่ประมาณ 50-100 บาท/เดือน
      • สำหรับการใช้น้ำเกินกว่า 10 ลูกบาศก์เมตร ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มเป็น 5-10 บาท/ลูกบาศก์เมตร โดยอัตรานี้อาจแตกต่างกันไปตามพื้นที่หรือบริการที่จัดการน้ำ
  2. การคิดค่าใช้น้ำตามประเภทการใช้ (Tiered Pricing):
    • หลายๆ ระบบน้ำใช้การคิดค่าใช้จ่ายที่มี ราคาตามขั้นบันได คือเมื่อมีการใช้น้ำเกินจากปริมาณที่กำหนด จะมีการคิดราคาที่สูงขึ้น เช่น:
      • 0-10 m³: ราคา 5 บาท/m³
      • 11-20 m³: ราคา 10 บาท/m³
      • 21 m³ ขึ้นไป: ราคา 20 บาท/m³
    • นี่คือการส่งเสริมให้ผู้ใช้น้ำประหยัดการใช้น้ำ

2️⃣ อัตราค่าใช้น้ำในระดับธุรกิจและอุตสาหกรรม

การคิดค่าใช้น้ำในธุรกิจและอุตสาหกรรมมักจะซับซ้อนกว่า เนื่องจากมีการใช้น้ำในปริมาณมากและหลากหลายประเภท โดยส่วนใหญ่จะคิดค่าใช้จ่ายตามปริมาณน้ำที่ใช้ รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการบำบัดน้ำเสีย

ค่าใช้จ่ายหลักที่ต้องคำนึงถึง:

  1. ค่าใช้จ่ายน้ำตามปริมาณการใช้ (Volume-based Billing):
    • อุตสาหกรรมจะต้องจ่ายตามปริมาณน้ำที่ใช้อย่างจริงจัง โดยอาจใช้มิเตอร์น้ำที่แยกเฉพาะจากมิเตอร์ของบ้านเรือน
    • อัตราการคิดค่าใช้น้ำในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอาจอยู่ที่ประมาณ 3-20 บาท/m³ ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจและขนาดการใช้
  2. ค่าใช้จ่ายการบำบัดน้ำเสีย (Wastewater Treatment Fees):
    • นอกจากการจ่ายค่าน้ำแล้ว อุตสาหกรรมยังต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียตามปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยออกไป
    • ค่าใช้จ่ายนี้มักคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของน้ำที่ใช้อีกส่วนหนึ่ง เช่น 30-50% ของค่าใช้น้ำ
  3. ค่าใช้จ่ายสำหรับน้ำในกระบวนการผลิต (Process Water Costs):
    • อุตสาหกรรมบางประเภทอาจมีการใช้น้ำในกระบวนการผลิต ซึ่งอาจจะต้องจ่ายค่าบริการที่สูงกว่าค่าน้ำที่ใช้ในบ้านเรือน
    • อัตรานี้อาจขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำที่ใช้ เช่น น้ำบริสุทธิ์, น้ำอุตสาหกรรม หรือ น้ำที่มีความขุ่นสูง ซึ่งต้องใช้ระบบกรองน้ำพิเศษ

3️⃣ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคิดค่าใช้น้ำ

  1. แหล่งที่มาของน้ำ: ค่าน้ำอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของน้ำ เช่น น้ำจากแม่น้ำ, น้ำบาดาล, หรือน้ำประปา
  2. ค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำ: ค่าใช้จ่ายในการกรองและบำบัดน้ำเสียเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและการปล่อยน้ำเสีย
  3. นโยบายการประหยัดน้ำ: การส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น การติดตั้งเครื่องมือประหยัดน้ำในบ้านหรือโรงงาน
  4. ความเข้มงวดของกฎหมาย: อัตราค่าน้ำในบางประเทศอาจได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่กำหนดให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในอัตราที่สูงขึ้นหากมีการใช้น้ำมากเกินไป

4️⃣ ตัวอย่างการคำนวณค่าใช้จ่ายน้ำในประเทศไทย

สำหรับบ้านเรือนในประเทศไทย ตัวอย่างการคิดค่าใช้น้ำอาจเป็นดังนี้:

  • 0-10 ลูกบาศก์เมตร คิดราคา 10 บาท
  • 11-30 ลูกบาศก์เมตร คิดราคา 12 บาท
  • 31-50 ลูกบาศก์เมตร คิดราคา 15 บาท
  • 51 ลูกบาศก์เมตรขึ้นไป คิดราคา 20 บาท

อัตรานี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของการประปาในพื้นที่ที่ใช้น้ำ เช่น กรุงเทพมหานคร หรือในพื้นที่ต่างจังหวัด


สรุป

การคิดค่าใช้น้ำจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณน้ำที่ใช้, ประเภทของการใช้, และแหล่งที่มาของน้ำ ในระดับครัวเรือนอาจคิดตามปริมาณการใช้น้ำจริงหรือเป็นราคาตามขั้นบันได ส่วนในธุรกิจและอุตสาหกรรมจะมีการคิดค่าใช้น้ำตามปริมาณการใช้และค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียด้วย การมีระบบการจัดการน้ำที่ดีและการประหยัดน้ำจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้

เครื่องมือกรองน้ำระดับอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงในต่างประเทศ